สนามแข่งขัน EURO2016
เหลือเวลาอีกไม่กี่วันแล้วนะครับสำหรับมหกรรมลูกหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป EURO2016 ที่ฝรั่งเศส สำหรับความพร้อมของเจ้าภาพฝรั่งเศสในการจัดการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2016 ในวันที่ 10 มิถุนายน - 10 กรกฎาคม 2016 นี้ มีสนามแข่งขันที่ทางเจ้าภาพได้จัดเตรียมเอาไว้ด้วยกัน10 สนาม จาก 10 เมือง ตามภูมิภาคของฝรั่งเศส ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นสนามเหย้าของสโมสรในลีกเอิง ลีกสูงสุดของฝรั่งเศส โดยอาจจะมีบางสนามได้รับการปรับปรุงครั้งใหม่ และบางสนามก่อสร้างใหม่ มาดูกันสิคะว่าแต่ละสนามแข่งขันแต่ละที่จะมีความสวยงามและน่าสนใจอย่างไรบ้าง ตาม Zenith World มากันเลยครับ
1. Stade de France
มาดูสนามแรกที่เมือง แซ็ง-เดอนีส์ ที่อยู่ใกล้ๆกรุงปารีส สนาม สตาดเดอฟร็องซ์ ซึ่งเป็นสนามที่สร้างขึ้นเพื่อใช้การแข่งขันฟุตบอลโลก 1998 มีจำนวน 81,338 ที่นั่ง สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 1995 แล้วสร้างเสร็จเมื่อวันที่ 28 มกราคม 1998 ซึ่งสนามแห่งนี้ใช้การแข่งขันฟุตบอลยูโร 2016 รอบแบ่งกลุ่ม รอบ 16 ทีมสุดท้าย รอบ 8 ทีมสุดท้าย และรอบชิงชนะเลิศ
สนามแห่งนี้นอกจากการแข่งขันฟุตบอลระดับทีมชาติแล้วสนามแห่งนี้สามารถจัดการแข่งขันกรีฑาได้ด้วยเพราะมีลู่วิ่ง และที่น่าสนใจก็คือ อัฒจันทร์รอบๆสนามฟุตบอลตรงส่วนล่างที่จุผู้ชมได้ 25,000 ที่นั่งตั้งคร่อมอยู่บนลู่วิ่ง เมื่อมีการแข่งขันกรีฑาซึ่งผู้ชมจะมีจำนวนไม่มากเมื่อเปรียบกับการแข่งขันฟุตบอล มันก็สามารถเลื่อนถอยเข้าไปได้ 15 เมตร เข้าไปเก็บไว้ในอาคารใต้อัฒจันทร์ และเมื่อมีการแข่งขันฟุตบอลซึ่งไม่ต้องการลู่วิ่ง ก็เลื่อนออกมารองรับผู้ชมได้ แต่การจะเลื่อนเข้า-ออกแต่ละครั้งต้องใช้เจ้าหน้าที่ดำเนินการประมาณ 40 คน และใช้เวลาประมาณ 80 ชั่วโมง สนามแห่งนี้เคยใช้ในการแข่งขัน Race of Champions,เมเจอร์ลีก,รอบชิงชนะเลิศในยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกเมื่อปี 2006 รวมทั้งจัดคอนเสิร์ต เคยมีศิลปินดังที่มาทำการแสดงอย่าง เลดี้ กาก้า,มาดอนน่า,ริฮานน่า,U2,วันไดเร็คชั่น เป็นต้น และเคยเป็นสถานที่ในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศในฟุตบอลโลก 1998 ซึ่งซีดานพาทีมชาติฝรั่งเศสคว้าแชมป์ในบ้านได้สำเร็จ หลังถล่มบราซิลไป 3-0
2. Parc des Princes
มาดูที่สนามจัดการแข่งขันที่ปารีสบ้างคือ ปาร์กเดแพร็งส์ เป็น 1 ในสนามที่เก่าแก่ที่สุดของ ฝรั่งเศส สนามเหย้าของทีม ปารีส แซ็ง-แฌร์กแม็ง แชมป์ลีกเอิง ปีล่าสุด สร้างขึ้นในปี 1897 แล้วสร้างสนามใหม่ในปัจจุบันเมื่อปี 1970 แล้วเปิดใช้ในปี 1972 ซึ่งความพิเศษของสนามแห่งนี้ คือการสร้างคร่อมอยู่บนทางด่วนที่เป็นวงแหวนรอบกรุงปารีส โดยได้มีการปรับปรุงครั้งใหม่เสร็จเมื่อปีที่แล้ว มีจำนวน 47,000 ที่นั่ง เพื่อรองรับผู้ชมในการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2016
โดยภายหลังจากการปรับปรุงมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ ภัคตาคารระดับ VIP ,ที่นั่ง VIP ซึ่งมีภัคตาคารและค๊อกเทลเลานจ์ที่สามารถดื่มด่ำและชมบอลข้างสนาม,ผับบาร์,ห้องรับแขก VIP ของสายการบินเอมิเรตส์ เป็นต้น สนามแห่งนี้ใช้แข่งขันในรอบแบ่งกลุ่ม และรอบ 16 ทีมสุดท้าย
และในอนาคตปาร์กเดแพร็งส์ มีการแผนยกเครื่องปรับปรุงใหม่อีกครั้ง โดยจะเพิ่มจำนวนที่นั่งเป็น 71,000 ที่นั่ง เพื่อรองรับแฟนบอลให้มากขึ้น
3. Stade Vélodrome
สนามสตาดเวโรโดรมเป็นสนามเหย้าของทีมโอลิมปิก มาร์กเซย มีความหมายว่า “สนามแข่งจักรยาน”เพราะสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการแข่งขันจักรยาน แต่การแข่งขันค่อยๆเสื่อมความนิยมลง จึงแทนที่บริเวณลู่ที่ลาดเอียงสำหรับแข่งจักรยานด้วยอัฒจันทร์ สร้างขึ้นในช่วงปี 1937 เพื่อใช้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1938 ก่อนจะมีการปรับปรุงครั้งใหญ่อีก2ครั้งในปี 1984 และ 1998 เพื่อใช้ในการแข่งขันฟุตบอลยูโร 1984 และฟุตบอลโลก 1998 โดยมีการสร้างอัฒจรรย์ให้ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับผู้ชมที่มากขึ้น และครั้งล่าสุดช่วงปี 2010-2014 มีการปรับปรุงครั้งใหญ่อีกครั้ง โดยจะปรับปรุงแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อลดกระทบสำหรับแฟนบอล มีจำนวน 67,500 ที่นั่ง สำหรับฟุตบอลยูโร 2016 ใช้ในการแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่ม,รอบ 8 ทีมสุดท้าย และรอบรองชนะเลิศ
และจากการปรับปรุงนี้ได้มีการทำสนามโดยใช้เทคโนโลยี่ใหม่ที่เรียกว่า แอร์ไฟเบอร์ (AirFiber) ใช้หญ้าจริง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ส่วนที่สำคัญคือดินที่รองรับ ประกอบด้วย เมล็ดคอร์คธรรมชาติเล็กๆ ก็คือเปลือกนอกของต้นโอ๊คที่ใช้ทำจุกขวดเหล้าไวน์หรือแชมเปญนั่นเอง แล้วผสมกับ ใยสังเคราะห์ และ ทรายแก้ว มันจะช่วยให้ปลูกหญ้าได้ดี พื้นสนามแข่งขันนุ่มกว่าปลูกด้วยดินธรรมดา มีคอร์คช่วยลดแรงกระแทก แถมเมื่อยุบลงไปยังคืนรูปกลับมาอย่างเดิมได้อย่างอัตโนมัติ นอกจากนั้น ยังเป็นฉนวนกันความร้อน รากหญ้าก็ฝังยึดลงไปได้ดี หลุดออกยากกว่าที่ปลูกบนพื้นดินปกติ ทนต่อทุกสภาพภูมิอากาศ กันน้ำได้ดี ไม่เละเป็นโคลนเลนให้สกปรกด้วย
4. Parc Olympique Lyonnais
เป็นสนามเหย้าแห่งใหม่ของทีมโอลิมปิก ลียง ลงมือสร้างในช่วงปี 2012-15 จากแนวความคิดของ ช็อง-มีเชล โอลั๊ส (Jean-Michel Aulas) ประธานสโมสรโอลิมปิก ลียง โดยเขาต้องการให้บริเวณดังกล่าวเป็น สปอร์ต คอมเพล็กซ์ มีศูนย์การค้าและแหล่งบันเทิงอื่นๆรวมอยู่ เพื่อทดแทน สต๊าด เดอ แชรล็อง (Stade de Gerland) สนามเดิมของ เทศบาลเมืองลิยง ที่สโมสรใช้มาตั้งแต่ปี 1950
บางครั้งสนามแห่งนี้ก็เรียกกันในชื่อ กร็อง สต๊าด เดอ ลิยง (Grand Stade de Lyon) คงเพราะว่ามันมีขนาดใหญ่โต จุผู้ชมได้ 59,186 ที่นั่ง หรืออีกชื่อหนึ่งคือ สต๊าด เด ลูมิแอร์ (Stade des Lumieres) ที่ตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ โอกุสต์ กับ ลุย ลูมิแอร์ (Auguste and Louis Lumiere) สองพี่น้องผู้สร้างภาพยนตร์รายแรกของโลกตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นชาวเมืองลียง สนามแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีการติดตั้งระบบเก็บกักน้ำฝนเอาไว้เพื่อใช้ในห้องน้ำทุกแห่งภายในสนามและใช้รดน้ำสนามหญ้าอีกด้วยคาดว่าจะเสร็จในต้นปี 2016 ใช้ในการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2016 ในรอบแบ่งกลุ่ม,รอบ 16 ทีมสุดท้าย และรอบรองชนะเลิศ
5. Stade Pierre-Mauroy
สนามใหม่ล่าสุดของสโมสรกีฬา ลีลล์ (LOSC Lille)ชื่อเต็มว่าสนาม กร็องสตาดลีลเมทรอปอล ตั้งอยู่เมืองลีล ตอนเหนือสุดของฝรั่งเศส เป็นสนามอเนกประสงค์ที่ไม่ใช่แค่เป็นสนามเหย้าของทีมลีล ยังสามารถใช้การแข่งขันกีฬาอื่นๆ และเป็นสนามที่หลังคาเปิด-ปิดได้ มีจำนวน 50,186 ที่นั่งซึ่งนับเป็นเกือบ 3 เท่าของความจุสนามเดิมที่เคยใช้เป็นรังเหย้าซึ่งไม่สามารถตอบสนองความต้องการของแฟนบอลได้อีกต่อไป เนื่องจากนับตั้งแต่ฤดูกาล 2012-13 เป็นต้นมา ลิล มีแฟนบอลซื้อตั๋วปีถึงหลัก 3 หมื่นคน มากเป็นอันดับต้นๆของสโมสรฟุตบอลในฝรั่งเศส
อัฒจันทร์มีความสูงถึง 31 เมตร หลังคาปกคลุมอัฒจันทร์ระยะ 7 เมตรและยังสามารถเลื่อนมาปิดคลุมทั้งสนามได้ทึบหมดภายใน 30 นาที มีการติดตั้งแผง โซลาร์ เซลล์ บนหลังคา รวมทั้ง กังหันลม 2 ตัว เพื่อผลิตกระแสไฟใช้ในสนามด้วย ที่สำคัญ ครึ่งหนึ่งของพื้นสนามฟุตบอลนั้นตั้งอยู่บนลิฟท์ไฮดรอลิคและรางขนาดใหญ่ที่สามารถยกและเลื่อนมาซ้อนบนสนามอีกครึ่งหนึ่งภายในเวลา 3 ชั่วโมง อันนี้เพื่อเปิดพื้นที่ส่วนล่างเป็นสนามกีฬาสำหรับ บาสเก็ตบอล เทนนิส หรือ การแสดงคอนเสิร์ต ที่ต้องการความจุผู้ชมระหว่าง 6,500-30,000 ที่นั่ง สร้างขึ้นเมื่อปี 2009 แล้วเปิดใช้เมื่อปี 2012 สำหรับในฟุตบอลยูโร 2016 ใช้ในการแข่งในรอบแบ่งกลุ่ม รอบ 16 ทีมสุดท้าย และรอบ 8 ทีมสุดท้าย
6. Stade Matmut-Atlantique
สนามเหย้าแห่งใหม่ของ สโมสรฟุตบอล ชีรงแด็ง เดอ บอร์กโดซ์ (Girondins de Bordeaux) เพื่อแทน สต๊าด ชาบ็อง-เด็ลมัส (Stade Chaban-Delmas) ที่ใช้กันมาตั้งแต่ปี 1938 เปิดใช้อย่างเป็นทางการไปเมื่อพฤษภาคมปี่ที่แล้ว มัตมุต นั้นเป็นชื่อของบริษัทประกันของฝรั่งเศสที่มีสัญญาโฆษณาในรูปแบบที่เรียกว่า เนมมิ่ง ไรทส์ (Naming rights) โดยจ่ายเงินให้ปีละ 2 ล้าน ยูโร เป็นระยะเวลา 10 ปี ให้ใช้เป็นชื่อสนาม ส่วน อั๊ตล็องติ๊ก ก็เป็นมหาสมุทรแถบชานเมือง บอร์กโดซ์ นั่นเอง
สนามแห่งนี้มีความจุ 42,115 ที่นั่ง ออกแบบโดย 2 สถาปนิกชาวสวิส ชัก แฮร์โซ้ก (Jacques Herzog) กับ พิแอร เดอ เมอรง (Pierre de Meuron) ที่สร้างผลงานระดับโลกอย่าง อาลิอั๊นซ์ อาเรนา (Allianz Arena) สนามเหย้าของ ทีม บาเยิร์น มิวนิค ประเทศเยอรมนี และ สนามกีฬาแห่งชาติ หรือ สนามรังนก ที่ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน มาแล้ว รูปลักษณ์ของสนามแห่งนี้ก็จะดูคล้ายๆกับสนามรังนกในเวอร์ชั่นสี่เหลี่ยมนั่นเอง และที่สำคัญ ตรงบริเวณที่ก่อสร้างนั้น เดิมเป็นบึงใหญ่ เขาจึงออกแบบโดยใช้เสาโลหะที่มีน้ำหนักเบากว่าปูนซีเมนต์จำนวน 945 ต้นปักลึกลงไป 22 เมตรเพื่อเป็นโครงสร้างรองรับทั้งสนาม สำหรับการแข่งขันบอลยูโร 2016 ใช้ในการแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่ม และ รอบ 8 ทีมสุดท้าย
7. Stade Geoffroy-Guichard
เป็นสนามฟุตบอลที่ อาแอ๊ส แซ็ง เตเตียน (AS Saint-Etienne) ใช้เป็นสนามเหย้ามาตลอดตั้งแต่ปี 1933 หลังจากเปิดใช้ได้ 2 ปี อัฒจันทร์สร้างเป็นสไตล์อังกฤษคือ เปิดมุมทั้ง 4 ด้านโหว่เอาไว้ จุผู้ชมได้ 42,000 ที่นั่ง
สนามนี้ถูกสร้างขึ้นบนที่ดินของ ช๊อฟฟรัว กีชาร์ ผู้ก่อตั้ง สโมสร แซ็ง เตเตียน มหาเศรษฐีเจ้าของร้านชำที่เริ่มเปิดกิจการตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 และเจริญเติบโตจนกลายเป็นธุรกิจใหญ่โตในปัจจุบันในชื่อ กรุ๊ป กาซีโน (Groupe Casino) ที่มี ซุปเปอร์ มาร์เก็ต มากมายกระจายอยู่ทั่วโลก รวมทั้ง บิ๊กซี ในประเทศไทย ก่อนที่ เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จะซื้อไป
สนามที่ถูกให้ฉายาว่า “นรกสีเขียว” ซึ่งเป็นสีประจำของ แซ็ง เตเตียน ได้รับการปรับปรุงตามคำแนะนำของ ยูฟ่า (UEFA) ตั้งแต่ปี 2014 โดยนอกจากจะถูกยกพื้นให้สูงขึ้นอีก 20 เซนติเมตร เพื่อให้ผู้ชมดูเกมได้ดีขึ้น เขายังใช้เทคโนโลยี แอร์ไฟเบอร์ (AirFibr) ด้วยคือดินที่รองรับหญ้านั้นประกอบด้วย เมล็ดคอร์คธรรมชาติเล็กๆ ผสมกับ ใยสังเคราะห์ และ ทรายแก้ว อีกทั้ง วางสายเคเบิลใต้ดินเพื่อให้ความอบอุ่นในฤดูหนาวเป็นการป้องกันความเย็นจัดจนเกิดเป็น แม่คะนิ้ง อันจะทำให้สนามหญ้าเสียหายและลื่นมากด้วย
8. Allianz Riviera
เพิ่งก่อสร้างเมื่อปี 2011 เสร็จสมบูรณ์ในอีก 2 ปีต่อมา และ สโมสรฟุตบอล นีซ (OGC Nice) ก็เริ่มมาใช้เป็นสนามเหย้า ความจุ 35,624 ที่นั่ง แม้ว่าบริษัทประกันของ เยอรมนี จะจ่ายให้ปีละ 1.8 ล้าน ยูโร เพื่อให้ใช้ชื่อ อัลลิอันซ์ เป็นสนาม[ แต่ด้วยข้อบังคับของ ยูฟ่า ในเรื่องสปอนเซอร์ทำให้ใน ยูโร 2016 ซึ่งเป็นการแข่งขันภายใต้การดูแลของ ยูฟ่า สนามแห่งนี้จะต้องใช้ชื่อ สต๊าด เดอ นีซ (Stade de Nice) แทน
สนามแห่งนี้มีหลังคาปกคลุมอัฒจันทร์โดยรอบ ทำด้วยพลาสติกที่แข็งแรง ทนต่อแรงกระแทกสูง ที่เรียกว่า PVDF (Polyvinylidencefluoride) สีมัวๆ ทำหน้าที่กรองแสงธรรมชาติ แถมยังช่วยดูดซับเสียงสะท้อนและเสียงที่มีคลื่นความถี่สูงได้อีก และติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์กินพื้นที่รวม 7,500 ตารางเมตร ซึ่งเขาคำนวณว่าจะผลิตกระแสไฟได้มากกว่าที่ต้องการใช้ในสนามถึง 3 เท่า นอกจากนั้น ยังมีการออกแบบผนังให้สามารถหักเหทิศทางลมที่มาจากลุ่มน้ำวาร์ (Var) เพื่อสร้างความชุ่มชื่นภายในสนามด้วย สำหรับการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2016 ใช้การแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่ม และรอบ 16 ทีมสุดท้าย
9. Stade Bollaert-Delelis
เป็นสนามเหย้าที่ทีม ล็องส์ (Racing Club de Lens) ใช้มาตั้งแต่ปี 1933 ความจุ 38,223 ที่นั่ง ตั้งชื่อตาม เฟลิกซ์ โบลาร์ต (Felix Bollaert) ผู้จัดการเหมืองที่เป็นแรงสำคัญช่วยสนับสนุนพัฒนาการทางกีฬาแก่เมืองล็องส์ กับอีกคน อ็องเดร เดอเลอลิส (Andre Delelis) นักการเมืองที่ช่วยรักษาสนามกีฬาแห่งนี้หลังจากสิ้นยุคเหมืองถ่านหินไปแล้ว
เมื่อได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 10 สนามที่ใช้รองรับการแข่งขัน ยูโร 2016 ก็เริ่มโครงการปรับปรุงสนามตั้งแต่ปี 2010 แต่ประสบปัญหาการเงินทำให้โครงการล่าช้ามาถึงปี 2012 มีการติดตั้งระบบเก็บกักน้ำฝนไว้ใช้ภายในสนาม รวมทั้ง ติดแผงโซลาร์เซลล์เพื่อนำกระแสไฟมาใช้ด้วย
สิ่งที่พิเศษของสนามนี้ก็คือที่ตั้งของ สต๊าด โบลาร์ต เดอเลอลิส ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ เฟร้นช์ ฟรายส์ (French fries) เป็นที่นิยมมาก และแทบจะเป็นสนามฟุตบอลแห่งเดียวในประเทศฝรั่งเศสที่มี ซุ้มขายเฟร้นช์ ฟรายส์ ตั้งอยู่รอบๆสนามเต็มไปหมดไม่ว่าจะภายนอกหรือภายในอาคาร เราคงคุ้นเคยกับการดูหนังพร้อมกับกินข้าวโพดคั่ว แต่ที่นี่เขาดูเกมฟุตบอลกับกิน เฟร้นช์ ฟรายส์ ครับ
10. Stadium Municipal
เป็นสนามที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค มิดี-พีเรเนส ใหญ่เป็นอันดับ 7 ของฝรั่งเศส สนามอยู่บนเกาะ กลางเมืองตูลูส ทางตอนใต้ของประเทศ อยู่ห่างจากกรุงปารีส ถึง 679 กม. มีความจุ 33,150 ที่นั่ง สร้างขึ้นเมื่อปี 1937 เพื่อใช้เป็นสังเวียนแข้งในศึกฟุตบอลโลก 1938 ก่อนจะมีการปรับปรุง 2 ครั้ง ในปี 1949 และ 1997
สนามแห่งนี้ใช้เป็นสังเวียนฟาดแข้งถึง 6 นัด ในการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 98 และยังเป็นรังเหย้าของ สโมสรรักบี้ตูลูส อย่างตูลูส เอฟซี และเปลี่ยนเป็นสนามแข่งขันให้กับทีมรักบี้ประจำเมืองอย่าง สตาด ตูลูส ในบางโอกาสที่เป็นบิ๊กแมตช์สำคัญ โดยเฉพาะรักบี้ชิงแชมป์โลก ปี2007 ซึ่งจุดเด่นก็คือเป็นสนามแข่งฟุตบอลและรักบี้ขนานแท้ ไม่มีลู่วิ่ง ดังนั้นผู้ชมจึงสามารถเข้าถึงอรรถรสเกมการแข่งขันได้อย่างเต็มที่เพราะรูปแบบและโครงสร้างของสนามมีความคล้ายคลึงกับอดีตสนามกีฬาประจำชาติของอังกฤษ สนามแห่งนี้จึงถูกขนาดนามว่า “มินิ เวมบลีย์"
แต่เพราะการระเบิดของสารเคมีครั้งใหญ่ในปี 2001ส่งผลให้เกิดการทำงานอย่างยาวนานเพื่อซ่อมแซมต้นเหตุของความเสียหาย โดยการดำเนินการปรับปรุงดังกล่าวให้ทันศึกยูโร 2016 สนามเพิ่งสามารถเปิดใช้งานได้อีกครั้งในเดือนมกราคมที่ผ่านมานี่เอง สำหรับการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2016 ใช้การแข่งในรอบแบ่งกลุ่ม และ รอบ 16 ทีมสุดท้าย
Zenith Says : สวยงาม ยิ่งใหญ่ อลังการจริงๆครับ กับทั้ง10 สุดยอดสนามฟุตบอล ที่จะเป็นสังเวียนแข้งในการแข่งขัน EURO2016 นี้คราวหน้า Zenith World จะมานำเสนอสุดยอดเรื่องราวมาให้ชาวZenith ได้อ่านกันอีกนะครับ