LaFerrari
สิ้นสุดการรอคอยกันเสียที สำหรับว่าที่รถยนต์ที่จะทำตลาดแทน Enzo Ferrari ที่ได้กลายเป็น 1 ในตำนานรถยนต์
ระดับซูเปอร์คาร์ไปแล้ว เพราะ Ferrari ค่ายรถยนต์ม้าพยศจากอิตาลี พร้อมเปิดตัว LaFerrari หรือ Ferrari F70
ที่ถูกพัฒนาขึ้นให้เป็น Enzo Ferrari II นั่นเอง
รูปลักษณ์ภายนอก คล้ายคลึงกับภาพตกแต่งทางคอมพิวเตอร์ก่อนหน้านี้ไม่น้อย แต่ก็มีหลายรายละเอียดที่รถคันจริง
ดูลงตัวกว่า ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ด้านข้างที่ลดทอนเส้นสายอันแข็งทื่อที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่งสูตร 1 ลง
และใส่ความโค้งมน โป่งนูน จนดูมีความอ่อนช้อยอันทรงพลังมากกว่า
LaFerrari มีความยาวถึง 4.7 ม. และกว้าง 1.9 ม. ในขณะที่เตี้ยเพียง 1.1 ม.เท่านั้น โดยมีระยะฐานล้อหน้า-หลัง
อยู่ที่ 2,665 มม. และด้วยโครงและตัวถังที่ทำจากคาร์บอนทั้งหมดทำให้เจ้า LaFerrari มีน้ำหนักรวมเพียง 1,255 กก. โดยถูกออกแบบให้มีการกระจายน้ำหนักหน้า-หลังในอัตราส่วน 41:59 และได้นำเทคโนโลยีF1 มาใช้กับม้าลำพองตัวนี้ทั้งหมด ทำให้รถยนต์คันนี้มีความสมดุลแทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
หัวใจหลักของ LaFerrari คือระบบขับเคลื่อน HY-KERS อันประกอบไปด้วยเครื่องยนต์เบนซินแบบ V12 ความจุ 6.2 ลิตร
ที่สร้างกำลังได้มากถึง 800 แรงม้า ที่รอบเครื่องยนต์ 9,000 รอบ/นาที และมีแรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตร ซึ่งระบบ HY-KERS มีน้ำหนัก 140 กก. โดยFerrari ได้เลือกติดตั้งแบตเตอรี่ลูกหลักไว้กลางลำตัวรถ เพื่อช่วยสร้างสมดุล อีกทั้ง
ยังมีมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 163 แรงม้า เข้ามาช่วยอีกแรง ทำให้ LaFerrari มีกำลังรวมสูงถึง 963 แรงม้า ส่งกำลังผ่าน
เกียร์อัตโนมัติคลัชท์คู่ DCT 7 จังหวะ สร้างอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.เร็วถึง 2.5 วินาที และทำความเร็ว 0-300 กม./ชม.
ในเวลาเพียง 15 วินาที ก่อนจบความเร็วสูงสุดที่ 350 กม./ชม. ซึ่งเมื่อ LaFerrari วิ่งด้วยความเร็วสูงสุดจะสร้างแรง Down Force ได้ถึง600 กก.
ระบบช่วงล่างที่นำมาใช้ใน LaFerrari ใช้ระบบ Double Wishbone ในล้อคู่หน้า และ Multi-Link สำหรับล้อคู่หลังและสวมล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้วในล้อคู่หน้า และ 20 นิ้วในล้อคู่หลัง นอกจากนี้ Ferrari ยังอัดสารพัดเทคโนโลยีที่จะช่วยให้การขับขี่สุดยอดซูเปอร์คาร์คันนี้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ เช่น ระบบเบรกคาร์บอนเซรามิกจาก Brembo ระบบ ESC ช่วยรักษาเสถียรภาพของตัวรถ ระบบ EF1-TRAC ระบบแทรกชันคอนโทรลที่นำมาจากรถแข่งสูตร 1ผสานเข้ากับระบบไฮบริดของตัวรถ รวมไปถึงโช้คอัพแม่เหล็กไฟฟ้าและระบบเฟืองท้ายที่พัฒนาขึ้นมาใหม่
ห้องโดยสารสองที่นั่งของ La Ferrari ค่อนข้างคับแคบจากรูปแบบของหลังคาและเสาหน้าที่ลาดเอน คอนโซลคาร์บอนหุ้มด้วยหนังกลับ เบาะเคฟล่าร์ถูกหล่อเป็นชิ้นเดียวกันกับอ่างของห้องโดยสารแบบรถ F1 เจ้าของรถจะถูกวัดตัวหลังจากจ่ายเงินเพื่อนำสัดส่วนของร่างกายไปหล่อตัวเบาะเบาะหุ้มด้วยหนังเนื้อนุ่มสีแดงมีเส้นสีเทาเดินคาดเพื่อมอบบรรยากาศแบบสปอร์ตสุดขั้ว ระดับความสูงและความห่างระหว่างพวงมาลัยกับคันเร่งก็ต้องวัดจากตัวเจ้าของ ลืมไปได้เลยถ้าจะให้ผู้ที่มีขนาดตัวแตกต่างกับเจ้าของมาขับ
ช่องแอร์ทรงกลมกับหน้าปัดแบบ TFT ปรับเปลี่ยนหน้าจอแสดงผลได้หลากหลาย โดยเฉพาะวัดรอบที่มีให้ถึงหมื่นรอบต่อนาที พวงมาลัยแบบฐานตัดบนล่างทำจากคาร์บอนหุ้มหนังกลับกันลื่น ก้านทั้งสามล้อมรอบสวิตช์ปรับแต่งโหมดการขับ สามารถเลือกโหมดรูปแบบของการขับ 5 ระดับ มีตั้งแต่วิ่งเรื่อยๆ ด้วยความเร็วต่ำในเมืองไปจนถึงซิ่งสุดกำลังในสนามแข่ง สำหรับแป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย หรือ Paddle Shift ใช้ก้านคาร์บอนทรงพระจันทร์เสี้ยวอยู่ในจุดที่เพียงกระดิกนิ้วเกียร์ก็จะเปลี่ยนตำแหน่งทันทีเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานอย่างที่สุด ก้าน Paddle หลังวงพวงมาลัยของ La Ferrari จึงมีขนาดที่ยาวเป็นพิเศษ
LaFerrari จะถูกผลิตออกมาเพียง 499 คันเท่านั้น มีสนนราคาอยู่ที่1ล้านปอนด์(ราว50ล้านบาท) เจ้าม้าลำพองตัวนี้อาจต้องรอนานกว่า2ปีกว่าจะได้เป็นเจ้าของมัน และคุณจำเป็นที่จะต้องมีเฟอรารี่ในครอบครองตั้งแต่5คันขึ้นไปด้วยนะครับ มีเงินอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีเพื่อนม้าลำพองอีก5คันไว้เป็นเพื่อนเล่นแก้เหงาให้เจ้า LaFerrari อีกด้วย ขี้เหงาไปนะบางที